รมว.ศธ. “เพิ่มพูน” เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 6/2568 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับคุณภาพการศึกษา PISA O-NET เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม เตรียมจัดการส่งเสริมเด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” Summer Camp 2025 ขับเคลื่อนการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษา Thailand Zero Dropout ปัจจุบันใกล้ครบ 100% ทุกจังหวัดทั่วภูมิภาค ย้ำแนวทางการทำงานในระดับจังหวัด ต้องประสานงานระหว่างหน่วยงานการศึกษา แบ่งปันทรัพยากร ทั้งบุคลากร งบประมาณ และเทคโนโลยี เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อคุณภาพการศึกษา พร้อมยกย่องบุคลากรที่เห็นคุณค่าของการเสียสละ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการมุ่งปลูกฝังให้แก่เยาวชน เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกในการร่วมมือกันสร้างสังคมที่ดีในอนาคต ที่ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ “ไทยจีนเลือดเดียวกัน 50 ปี 5 ล้านซีซี“

19 กุมภาพันธ์ 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 6/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting

ภายหลังการประชุม รมว.ศธ. พร้อมด้วยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำ ศธ., นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ., ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ., นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ. และนายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ สกศ. แถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าว

รมว.ศธ. กล่าวว่า การขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ นั้นถือว่ามีการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง เน้นย้ำให้มีการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มพูนทักษะ อบรมเพิ่มเติมความรู้ต่าง ๆ และมีการประเมินว่ากระบวนการอบรมจะช่วยส่งเสริมกระบวนการให้มีความ “ฉลาดรู้” อย่างถูกต้อง เพื่อพัฒนาความ “ฉลาดคิด” ที่จะนำไปสู่การวางแนวทางในการดำเนินงานเพื่อเป็นผู้ “ฉลาดทำ” ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น

สรุปสาระสำคัญจากการประชุม ดังนี้

การขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา PISA

รมว.ศธ. กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ของบุคลากร การอบรมการใช้ชุดพัฒนาความฉลาดรู้สำหรับครูผู้สอนวิชาภาษาไทย วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นสิ่งที่ดีในการดำเนินงาน โดยคาดหวังว่าหลังจากการอบรมฯ จะเกิดผลลัพธ์ (Outcome) และผลกระทบ (Impact) ที่เป็นรูปธรรม สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอด ขยายผล และขับเคลื่อนในมิติพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเน้นย้ำการพัฒนาสมรรถนะความฉลาดรู้ของนักเรียน ทั้งในระดับชั้น ม.3 และ ม.4 รวมถึงนักเรียนระดับ ปวช.1 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการนำไปใช้ในกิจกรรมในห้องเรียนเน้นทักษะกระบวนการคิด เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความคิดรวบยอดนำไปสู่การหาคำตอบอย่างมีเหตุผล “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ”

ในการนี้ สพฐ. ได้มีการจัดทำร่างแนวทางการส่งเสริมเด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” สพฐ. Summer Camp 2025 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพนักเรียนในระดับชั้น ม. 2 และ ม.3 ระหว่างปิดภาคเรียนในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2568 มีการจัดทำร่างหลักสูตรการฝึกอบรมปฏิบัติการ ทั้งการฝึกปฏิบัติผ่านเกม อาทิ PISA Gamification เกมแข่งขันแป้นพิมพ์ การฝึกคิดพิชิตความรู้ ซึ่งในทุกกิจกรรมต้องไม่มีความรุนแรงและเหมาะสมกับนักเรียนทุกคน และในส่วนของการขยายผลการอบรมการสร้างและพัฒนาข้อสอบในระดับเขตพื้นที่ มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 239,098 คน อบรมเสร็จสิ้น 147,704 คน ซึ่งต้องวางแนวทางให้กลุ่มนี้ขยายผลแนะนำไปยังเพื่อนครูให้ได้มากที่สุด และจากการลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานในหลายพื้นที่ ต้องขอชื่นชมความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับผลการประเมิน PISA แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้เสนอแนวทางการเตรียมความพร้อมการทดสอบ PISA 2025 ที่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ประเด็นสำคัญ อาทิ ในการสร้างแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนครูและผู้อำนวยการเห็นความสำคัญของการสอบ PISA การพัฒนาทักษะโดยการส่งเสริมให้เด็กมีการทดลองทำข้อสอบ PISA-Style ส่งเสริมให้ครูสามารถออกข้อสอบแนว PISA หรือมีการร่วมมือกับ SCB (ธนาคารไทยพาณิชย์) จัดทำแอปพลิเคชันที่ประยุกต์ใช้ AI มาช่วยให้เด็กได้ทดลองทำข้อสอบ มีการตรวจสอบความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการทดสอบ และการพัฒนาระบบสนับสนุนการทดสอบ การสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้หน่วยงานเห็นความสำคัญและส่งเสริมสนับสนุนให้มีความพร้อมสำหรับการทดสอบ PISA

การติดตามเด็กนอกระบบการศึกษา Thailand Zero Dropout

รมว.ศธ. กล่าวว่า ที่ประชุมได้รายงานผลการติดตามเด็กนอกระบบในช่วงอายุ 6 – 15 ปี (การศึกษาภาคบังคับ) โดยจากข้อมูลพบว่ามีจำนวนเด็กนอกระบบการศึกษาทั้งสิ้น 1,025,514 คน โดยสามารถติดตามได้แล้ว 976,334 คน เป็นเด็กสัญชาติไทย 736,851 คน จากทั้งสิ้น 767,304 คน หรือคิดเป็น 96.03% ของเด็กที่มีสัญชาติไทย ทั้งนี้มีการดำเนินงานติดตามครบ 100% ถึง 40 จังหวัด ในทุกภูมิภาค ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 9 จังหวัดที่อยู่ใน 25 จังหวัดโครงการนำร่องของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) แสดงให้เห็นว่าการนำร่องไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการติดตามเด็กที่หลุดออกจากระบบ ปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถติดตามเด็กคือความร่วมมือร่วมใจของชาว ศธ.

นอกจากนี้การติดตามเด็กตกหล่น – เด็กหลุดออกนอกระบบในส่วนของ สพฐ. 245 เขตพื้นที่ มีการติดตามได้ 100% และมีการนำระบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาแบบยืดหยุ่น ซึ่ง สพฐ. มีการดำเนินโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง” OBEC Zero Dropout ขยายผลการดำเนินงานใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ สามารถค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบกลางคันได้ครบทุกเขตพื้นที่ สำหรับแนวทางในการพัฒนาเพื่อให้สถานศึกษาจัดการศึกษาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน นำนวัตกรรมโรงเรียนมือถือ (Mobile School) ที่ทำให้ผู้เรียนเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชน ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน เพื่อให้สามารถเก็บหน่วยกิตได้ ส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียนและเพื่อให้โอกาสในการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมในทุกเขตพื้นที่

สำหรับความก้าวหน้าในการดำเนินงานบุรีรัมย์โมเดล (BZDM) ระยะที่ 2 ซึ่งจากการสำรวจเด็กและเยาวชนอายุ 6-15 ปีที่หลุดออกจากระบบการศึกษาสามารถสำรวจได้ครบ 100% จำนวน 4,390 คน มีสัญชาติไทย 4,333 คน ซึ่งสาเหตุสำคัญคือการไม่พบตัวในพื้นที่ ส่วนใหญ่มีการย้ายไปอยู่ต่างประเทศหรือต่างจังหวัด คณะทำงานบุรีรัมย์โมเดลได้มีการจัดทำแผนการดำเนินงานสำหรับกลุ่มเด็กที่ติดตามได้ตามแนวทาง อาทิ กลุ่มผู้ประสงค์เข้ารับการศึกษา กลุ่มผู้ไม่ประสงค์รับการศึกษาจากปัญหาต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่ต้องการให้รับการสนับสนุนทางด้านสุขภาพด้านการศึกษา ด้านอุปโภคบริโภค ด้านส่งเสริมทักษะอาชีพ และแนวทางการช่วยเหลือสำหรับเด็กที่ไม่ประสงค์รับความช่วยเหลือ จะได้มีการดำเนินการปรับปรุงแพลตฟอร์มบุรีรัมย์โมเดล BZDM เพื่อเป็นแนวทางให้จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป ในอนาคตการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาจะรับผิดชอบโดยฝ่ายปกครองในหน่วยงานกระทรวงมหาดไทย เพื่อลดภาระให้ครูทำหน้าที่หลักในการสอนเพียงอย่างเดียว

การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)

รมว.ศธ. กล่าวว่า ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันในการดำเนินงาน และอำนวยการสอบให้กับนักเรียนทุกคน ซึ่ง สทศ. ได้มีการพัฒนาแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ เน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนที่จะใช้ความรู้และทักษะ มีการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการทดสอบ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการประเมินผลให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการตรวจข้อสอบ และเพิ่มความสะดวกให้กับนักเรียนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งการสอบในปีนี้พบว่านักเรียนที่สมัครสอบแล้วแต่ไม่เข้าทดสอบลดลงกว่าปีที่ผ่านมา และมีนักเรียนสมัครใจ walk-in เข้าทดสอบมากขึ้นกว่า 1 หมื่นคน ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่น่าพอใจ

ผลจากการทดสอบจะนำไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการทดสอบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และยังเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียนในแต่ละระดับ การใช้ผลสอบ O-NET จะช่วยให้สถานศึกษา ครู ผู้ปกครองและนักเรียน เห็นจุดแข็ง และจุดที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวมของประเทศ

โครงการ “ไทยจีนเลือดเดียวกัน 50 ปี 5 ล้านซีซี“

รมว.ศธ. ได้รับรายงานจาก ปลัด ศธ. ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้จัดกิจกรรมการบริจาคโลหิตทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2568 โดยเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ บุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ และประชาชนทั่วไป ที่ร่วมบริจาคโลหิตกว่า 500 คน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการพร้อมที่จะสนับสนุนความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและจีน และร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โครงการบริจาคโลหิตนี้สะท้อนถึงความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ และเป็นการยกย่องคุณค่าของการเสียสละและความเมตตา ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการมุ่งปลูกฝังให้แก่เยาวชน เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกในการร่วมมือกันสร้างสังคมที่ดีในอนาคต

ในส่วนของการดำเนินงานในภูมิภาคทั้ง 76 จังหวัด ศึกษาธิการจังหวัดจะเป็นผู้ประสานงานและขับเคลื่อนการบริจาคโลหิตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยตั้งเป้าหมายให้แต่ละจังหวัดมีผู้บริจาคโลหิตไม่น้อยกว่า 200 คน รวมทั้งประเทศจะมีผู้บริจาคกว่า 15,000 คน กลุ่มเป้าหมายหลักประกอบด้วยข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 17 – 70 ปี เพื่อสนับสนุนการสำรองโลหิตของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ผ่านสัญลักษณ์ “เลือดเดียวกัน” ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชนทั้งสองประเทศ

ครม.สัญจร ครั้งที่ 1/2568 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย

รมว.ศธ. กล่าวว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนคุณภาพ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี และสงขลา) ซึ่งได้เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการการจัดการศึกษาในพื้นที่ มีการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ โดยสร้างเครือข่ายการศึกษากับทุกภาคส่วนตามนโยบาย “จังหวัดเป็นหนึ่ง” โดยเฉพาะการบูรณาการในระดับจังหวัด ผ่านการประสานงานระหว่างหน่วยงานการศึกษาและการแบ่งปันทรัพยากร ทั้งบุคลากร งบประมาณ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ ต้องร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสำคัญทางการศึกษา อาทิ การติดตามเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา “Zero Dropout” การยกระดับคุณภาพการศึกษาจากผลการสอบ O-NET และ PISA การแก้ไขปัญหาหนี้สินครู และการดูแลความปลอดภัยของบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการทุกคน การดำเนินงานกล่าวต้องสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ดังนั้น การออกแบบการศึกษาต้องคำนึงถึงความต้องการของท้องถิ่น และส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียม

นอกจากนี้การติดตามนโยบายของ ศธ. ในภาพรวมขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป ไม่ว่าเป็นการขับเคลื่อน PISA Zero Dropout การแก้ไขปัญหาหนี้สินครู การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และการลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime ซึ่งทุกภารกิจของเรานั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน

“สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการให้ประสบผลสำเร็จคือการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ในการพัฒนาการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ ตามแนวทาง “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” เพื่อนำไปสู่ “การศึกษาไทยที่เท่าเทียมอย่างยั่งยืน” รมว.ศธ. กล่าว

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว – กราฟิก
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / วีดิทัศน์
ณัฐพล สุกไทย / ภาพ

Share This Article

Related Post