ผลการประชุม กศจ.
วันนี้ (13 มกราคม 2568) เว...
6 กุมภาพันธ์ 2568 – สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงาน Equity Forum 2025 “ประเทศไทยกับการแก้ปัญหาเชิงระบบเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” พร้อมเสวนาหัวข้อมุมมองนโยบาย : ทิศทางความเสมอภาคทางการศึกษาของประเทศไทย ปี 2568 โดยดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ผู้แทนฝ่ายนโยบาย นักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ผู้นำท้องถิ่น นักการศึกษา นักวิชาการ และนิสิตนักศึกษา เข้าร่วม ณ ห้อง Mitrtown Hall 1 สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพมหานคร
สำหรับการจัดการในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งภายในงานมีการเปิดรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568 พบว่าเด็กนอกระบบการศึกษามีแนวโน้มลดลง แต่เด็กยากจนเรียนต่อมหาวิทยาลัยน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 2 เท่า เสนอสร้างระบบหลักประกันโอกาสการศึกษา ใช้บัตรประชาชนใบเดียวเรียนได้ไร้รอยต่อ ตั้งแต่ปฐมวัยถึงมีงานทำ ด้านยูเนสโก ระบุว่า หากลงทุนลดเด็กหลุดนอกระบบและเด็กทักษะต่ำกว่าพื้นฐานเพียง 10% เพิ่ม GDP แต่ละปีได้ถึง 1-2%
ปีการศึกษา 2567 ประเทศไทยมีประชากรนักเรียนในช่วงวัยเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ (อายุ 3 – 14 ปี) จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 8.5 ล้านคน ในจำนวนดังกล่าวมีนักเรียนกว่า 3 ล้านคนที่อยู่ในครัวเรือนภายใต้เส้นความยากจน (Poverty Line) ซึ่งเมื่อประมวลผลจากการคัดกรองโดยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Test) พบว่า ประเทศไทยมีนักเรียนยากจนพิเศษระดับอนุบาล – มัธยมศึกษาตอนต้นในครัวเรือนยากจนที่สุด 15% แรกของประเทศ จำนวน 1,348,735 คน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุด อันดับหนึ่งคือจังหวัดแม่ฮ่องสอน อันดับสองคือจังหวัดนราธิวาส และที่เหลือพบว่าส่วนใหญ่มีการกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษ ปีการศึกษา 2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1,133 บาท/คน/เดือน หรือเฉลี่ยวันละ 37 บาท เมื่อเทียบกับปีการศึกษา 2566 ที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,039 บาท/คน/เดือน หรือเฉลี่ยวันละ 34 บาท และจากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านโดยครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศพบสถานการณ์ความเปราะบางของครัวเรือนยากจนพิเศษในหลายมิติ เช่น มีนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.77% ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่อพยพย้ายถิ่นไปทำงานในเมือง หรือครอบครัวแหว่งกลาง และยังพบว่าสมาชิกในครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิง อาทิ มีผู้สูงอายุในครัวเรือน 44.43% มีคนว่างงานในครัวเรือน 27.3% มีคนพิการเจ็บป่วยเรื้อรังในครัวเรือน 12.41%
นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมถึงสถานการณ์เด็กเยาวชนนอกระบบ ในปี 2567 จากการเชื่อมโยงข้อมูลเด็กและเยาวชนที่อายุ 3-18 ปี ระหว่างระบบสารสนเทศของสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กับ สำนักทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทย พบว่า มีเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 3-18 ปี (เกิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2550 – 31 ธันวาคม 2564 ) ที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 982,304 คน ซึ่งลดลงจากปีการศึกษาก่อนหน้าที่มีอยู่จำนวน 1.02 ล้านคน โดยเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่หน่วยงานต้นสังกัดทางการศึกษาต่าง ๆ สามารถพาเด็กเยาวชนมากกว่า 304,082 กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ในปีที่ผ่านมา
และยังมีเด็กเยาวชนที่ยังคงไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 590,557 คน และมีเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษากลุ่มใหม่ จำนวน 391,747 คน ในจำนวนนี้อยู่ในช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับ จำนวน 387,591 คน คิดเป็น 39.46% ของเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษาทั้งหมด (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567)
ทั้งนี้ จากปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่หลุดจากระบบซ้ำ พบว่าการสร้างพื้นที่ปลอดภัยต่อการเรียนรู้และเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ เป็นทางออกสำคัญของเรื่องนี้ ทั้งในมิติการป้องกันและช่วยเหลือ การส่งเสริม สนับสนุนให้ท้องถิ่นทุกระดับเห็นความสำคัญ เป็นแกนนำและทำหน้าที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนโดยมีเด็ก เยาวชนเป็นศูนย์กลาง มีข้อบัญญัติของท้องถิ่นที่แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน และจัดสรรงบประมาณและกำลังคนรับผิดชอบต่อเนื่อง ไร้รอยต่อทางการเมือง จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การป้องกันและแก้ปัญหาเด็กเยาวชนนอกระบบเกิดขึ้นจริงได้
พบพร ผดุงพล / ข่าว,กราฟิก