ศธ. เตือนอย่าท้า
6 มีนาคม 2568 – นายสิริพ...
ภายใต้บริบทโลกที่ผันแปรอย่างรวดเร็วและมีความท้าทายเพิ่มขึ้น ทั้งในมิติของเทคโนโลยีและวิวัฒนาการของกระบวนการจัดการศึกษา การพัฒนาการศึกษาของประเทศจึงจำเป็นต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองในเรื่องดังกล่าว โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัย ในฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนในยุคปัจจุบันและอนาคต โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนาการศึกษาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
“สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการจัดการศึกษา ต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อให้เท่าทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก อย่างไรก็ตามในกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมการศึกษา นักวิจัยไม่สามารถอาศัยการคาดการณ์โดยปราศจากข้อมูลเชิงประจักษ์ หรือ “นั่งเทียน” เขียนนวัตกรรมการศึกษาขึ้นมาได้ นวัตกรรมการศึกษาจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีรากฐานที่ดีจากกระบวนการวิจัยที่เป็นระบบและเข้มข้น รวมถึงดำเนินการบนพื้นฐานของข้อมูลสารสนเทศที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ กระบวนการวิจัยจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับกระบวนการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ นักวิจัยในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการจึงต้องดำเนินการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อให้การพัฒนานวัตกรรมสามารถนำไปตอบสนองต่อปัญหาและยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิผล”
ซึ่งมุมมองดังกล่าว สอดคล้องกับแนวทางในการขับเคลื่อนระบบฐานข้อมูลวิจัยของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ “OPS MOE Research” OPS ในการกำหนดเป้าประสงค์ (Objective) วัตถุประสงค์ (Purpose) และยุทธศาสตร์ (Strategy) ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้ยึดตามนโยบายของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่อง “การพัฒนาคุณภาพการศึกษาบนฐานข้อมูลสารสนเทศ” ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและพลวัตการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิผล
โดยการกำหนดยุทธศาสตร์ดังกล่าว จำเป็นต้องพิจารณาถึงสถานการณ์และบริบทเชิงพื้นที่ รวมถึงระบบนิเวศการศึกษาที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศแบบ Stand Alone ระบบนิเวศเฉพาะ หรือบริบททางการศึกษาที่หลากหลาย ซึ่งบริบทเชิงพื้นที่เหล่านี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้นจะเห็นว่าการจัดการศึกษาจึงมิใช่การคาดการณ์โดยปราศจากข้อมูลเชิงประจักษ์ หากแต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
M – Research (Main Research Focus) ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงนโยบาย โดยมุ่งเน้นการนำผลการวิจัยมาใช้เป็นข้อมูลหลักในการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนาการศึกษา ซึ่งในส่วนนี้ สอดคล้องกับมุมมองของปลัดกระทรวงศึกษาธิการที่กล่าวว่า “การพัฒนาผลงานวิจัย มิใช่เพียงแค่การคิดค้น หากแต่ต้องอาศัยข้อมูลและสารสนเทศที่ได้จากการจัดเก็บและวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นฐานในการตัดสินใจ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในกระบวนการพัฒนาการศึกษาในอนาคต ทำให้การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาการศึกษา” ด้วยเหตุนี้ การวิจัยจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญและสามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม
O – Research (Opportunities for research development) การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนางานตามภารกิจ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการจัดการศึกษา ให้ความสำคัญต่อการวิจัยและสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายการศึกษา เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในหลากหลายมิติของการพัฒนาการศึกษาตามภารกิจของหน่วยงาน ทั้งการพัฒนานโยบายการศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การพัฒนาการวัดและประเมินผล การส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษา และยกระดับคุณภาพของผู้เรียน
E – Research (Enhancing Research Capacity) การเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัย นอกจากการสนับสนุนด้านงบประมาณแล้ว สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ซึ่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีแนวคิดว่า “ไม่ว่าจะทำงานใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องมีการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ และใช้กระบวนการวิจัยที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนการทำงาน” ซึ่งทำให้เห็นว่า ในกระบวนการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ และการส่งเสริมให้นักวิจัยรุ่นเก่า มีความเป็นนักวิจัยมืออาชีพ มีประสบการณ์และสามารถต่อยอดงานวิจัยได้นั้น ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้กับระบบวิจัยของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ปัจจุบันสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาได้มีการพัฒนา OPS MOE Research ซึ่งเป็นฐานข้อมูลวิจัยของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้ลิงก์ opsresearch.moe.go.th อันจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลงานวิจัย ที่ดำเนินการโดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการอย่างมีระเบียบและเป็นระบบ นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ข้อมูลและผลงานวิจัยได้ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งในและนอกภาครัฐ ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการตระหนักรู้ในผลกระทบและคุณค่าของงานวิจัยที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการมา จนกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ
งานวิจัยคือหัวใจสำคัญในการพลิกโฉมการศึกษาไทย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กำลังเดินหน้าวางระบบนิเวศการวิจัยที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างนวัตกรรมการศึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในยุคดิจิทัล และเตรียมความพร้อมให้กับคนไทยสำหรับการก้าวสู่โลกอนาคตอย่างยั่งยืน มาร่วมกันผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือและนำแนวทางนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงบริบทของแต่ละพื้นที่ มาเป็นกรอบในการสรรค์สร้างงานวิจัย และใช้ผลการวิจัยนั้นเป็นข้อมูลในการยกระดับคุณภาพการศึกษาในอนาคต
อานนท์ วิชานนท์ / สกู๊ป-กราฟิก