แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน

คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป

สาระสำคัญ

กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชนแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาว่า กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชนที่มีความร้ายแรงถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต

โดยกระทรวงศึกษาธิการได้มีการจัดการเรียนการสอน ในรายวิชาแนะแนว ซึ่งครอบคลุมขอบข่ายในการแนะแนวด้านการศึกษา การแนะแนวอาชีพและการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม เพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนอยู่ในสังคมที่ดี ลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน และมีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมครูทั้งรูปแบบ Online และ Onsite สร้างความรู้ ความเข้าใจให้ครูมีทักษะด้านจิตวิทยาเด็กขั้นพื้นฐาน และทักษะการวิเคราะห์ ช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ

รวมถึงได้ดำเนินงานร่วมกับสถานศึกษา พัฒนาเครือข่ายป้องกันปัญหาพฤติกรรมและการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษา เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง โดยมีโปรแกรม บำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนด้วยเทคนิคการบำบัดปรับพฤติกรรมที่ช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถกลับสู่ครอบครัวและดำรงชีวิตในสังคมต่อไปได้อย่างปกติสุข และไม่กลับมากระทำผิดซ้ำอีก

การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน

คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้

  1. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง ของ ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียนและให้ใช้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน (โครงการนมโรงเรียนฯ)
  2. เห็นชอบการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียนฯ จำนวน 4 ข้อ ดังนี้
    (1) นักเรียนทั้งประเทศได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ
    (2) เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมสามารถผลิตขายน้ำนมโคที่มีคุณภาพได้และมีความยั่งยืนในอาชีพ
    (3) เพื่อสร้างศักยภาพ ความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจและสถาบันการศึกษาในการดำเนินกิจการผลิตนมในลำดับแรก ซึ่งจะเกิดความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
    (4) ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมได้รับการจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

สาระสำคัญของเรื่อง

1. สถานการณ์การผลิตและการเลี้ยงโคนมในปัจจุบันมีจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมลดลงจาก 15,724 ราย ในปี 2566 เป็นจำนวน 14,997 ราย ในปี 2567 ส่งผลให้ปริมาณน้ำนมโคของทั้งประเทศลดลงจาก 1.026 ล้านตันต่อปี ในปี 2566 เป็น 1.011 ล้านตันต่อปี ในปี 2567 รวมทั้งจำนวนแม่โครีดนมยังมีแนวโน้มลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องโดยลดลงจาก 244,292 ตัว ในปี 2566 เป็น 233,501 ตัวในปี 2567  ประกอบกับภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย – ออสเตรเลีย [Thailand – Australia Free Trade Agreement (TAFTA)) และความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย – นิวซีแลนด์ [Thailand – New Zealand Closer Economic Partnership (TNZCEP)) ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ประเทศไทย  ต้องยกเลิกโควตาภาษีของนมผงขาดมันเนย และนมและครีม ให้เป็นร้อยละ 0 ความตกลงดังกล่าวจึงผลกระทบต่อภาคการผลิตของอุตสาหกรรมนมของไทยเนื่องจากทำให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมนมสูงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มจำนวนเด็กนักเรียนของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนักเรียนในโครงการนมโรงเรียนฯ ปี 2563 จำนวน 7,036,845 คน แต่ในปี 2567 กลับลดเหลือจำนวน 6,525,110 คน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจำนวนที่จะนำมาจัดสรรสิทธิโดยเฉพาะภาคสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา (ตั้งแต่เริ่มโครงการนมโรงเรียนฯ ในปี 2562 มีแนวโน้มการได้รับสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนลดลงตามลำดับ)

2. เนื่องจากแนวโน้มภาคสหกรณ์โคนมรัฐวิสาหกิจและสถานศึกษาได้รับการจัดสรรสิทธินมโรงเรียนลดลง รวมถึงการยกเลิกโควตาภาษีของนมผงขาดมันเนยและนมและครีมให้เป็นร้อยละ 0 ส่งผลให้อุตสาหกรรมโคนมมีข้อจำกัดด้านการแข่งขันทางการตลาด ประกอบกับข้อมูลสถิติการเลี้ยงโคนมและเขตการบริหารราชการของกรมปศุสัตว์ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการกระจายตัวของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมไม่สัมพันธ์กับหลักโลจิสติกส์ โดยการทบทวนปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการจัดสรรสิทธิการจำหน่าย นมโรงเรียนในบางกลุ่มพื้นที่ที่มีปัญหาการขนส่งช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการดำเนินโครงการนมโรงเรียนฯ ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนด้วย

3. การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26  มีนาคม 2562 ในประเด็นโครงสร้างระบบบริหารโครงการนมโรงเรียนฯ จากเดิมที่แบ่งกลุ่มพื้นที่ 5 เขตพื้นที่ เป็น 7 เขตพื้นที่ จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งนมโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตภาคใต้ ซึ่งเมื่อมีการแบ่งเขตใหม่จะสามารถช่วยลดระยะทางในการขนส่งนมโรงเรียนได้จากเดิมที่ต้องขนส่งระยะทางไกลที่สุด 1,191 กิโลเมตร เหลือเพียงแค่ 505 กิโลเมตร  อย่างไรก็ตาม การแบ่งเขตกลุ่มพื้นที่ใหม่นี้อาจจะไม่ช่วยทำให้จำนวนนักเรียนและจำนวนศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบมีการกระจายตัวอย่างสมดุลในแต่ละกลุ่มพื้นที่มากนัก ซึ่ง กษ. สามารถทดแทนได้จากการรับนมของพื้นที่นอกเขต โดยปัจจุบันในแต่ละกลุ่มพื้นที่มีปริมาณนมยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการนมโรงเรียนฯ ต่อวันเพียงพอต่อความต้องการในกลุ่มพื้นที่นั้น ๆ อยู่แล้ว

ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/93991